instil-hiv

ตรวจเอดส์ต้องรอกี่เดือน ถึงจะตรวจได้

ตรวจเอดส์ต้องรอกี่เดือน

ตรวจเอดส์ต้องรอกี่เดือน ในปัจจุบันคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก โรคเอดส์ (AIDS) เพราะเป็นโรคที่ถือว่ามีความร้ายแรง แพร่ระบาดได้ง่ายผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ผ่านทางเลือด และสารคัดหลั่ง แน่นอนว่าโรคเอดส์นั้น เป็นภาวะการป่วยขั้น สุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้มีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องจนไม่สามารถทำการต่อต้านเชื้อที่ไปสู่ร่างกายได้ และทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการ เจ็บป่วยได้ง่ายจนนำ ไปสู่การเสียชีวิตลงได้

            เนื่องจากปัจจุบันนี้ ยังไม่มีวิธีการไหน ที่สามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ จะมีก็เพียงแต่ยาที่ช่วยในการชะลอการพัฒนาโรคและลดอัตราความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตลงด้วยโรคเอดส์เท่านั้น แม้ว่าจะมีการวิจัยทดลองรักษาผู้ติดเชื้อให้หายออกมาบ้างแล้ว แต่ยังคงเป็นเพียงงานวิจัยทดลองเท่านั้น ยังไม่ได้นำมาใช้ในทางการแพทย์ปัจจุบัน การรักษายังคงเป็นเพียงการทานยาตามที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้

อยากตรวจเอดส์/เอชไอวี ต้องรอกี่เดือน

ตรวจเอดส์ต้องรอกี่เดือน ปัจจุบันการตรวจเอชไอวี และเอดส์ จะต้องรอกี่เดือนนั้นขึ้นอยู่กับหลักการตรวจของชุดตรวจหรือเครื่องตรวจนั้น ๆ ซึ่งหลักการตรวจเอชไอวีก็มีหลายหลักการ ดังนี้

    – HIV p24 antigen testing วิธีการตรวจนี้ เป็นการตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเอชไอวี สามารถตตรวจได้หลังจากติดเชื้อเอชไอวีมาแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นหลักที่ใช้ในการตรวจหาเชื้อของผู้ป่วยระยะแรก เพราะเนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยนั้นยังไม่สร้าง Antibody หรือมีระดับของ Antibody ต่ำเกินไป ด้วยวิธีการนี้มีความแปรปรวนง่ายจึงไม่เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน

    – Anti-HIV testing เป็นการตรวจหาแอนติบอดีที่มีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV) วิธีการตรวจนี้จะสามารถตรวจพบเชื้อได้หลังจากที่ร่างกายติดเชื้อเอชไอวีมาแล้ว ประมาณ 3 สัปดาห์ ซึ่งการตรวจประเภท Anti-HIV จะเป็นการตรวจที่จำเพาะต่อเชื้อเอชไอวี จึงนิยมใช้ในการตรวจคัดกรองในสมัยนี้

    – Nucleic Acid Test (NAT) วิธีนี้จะเป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี เป็นวิธีการตรวจที่สามารถตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้เร็ว โดยสามารถตรวจหลังจากที่ร่างกายติดเชื้อมาแล้วประมาณ 5 วัน ถึง 1 สัปดาห์ แต่ปัจจุบันวิธีการตรวจนี้ทางการยังไม่มีการนำมาบรรจุในการนำมาคัดกรองในสถานพยาบาล

    – HIV Ag/Ab combination assay ชุดตรวจชนิดนี้สามารถตรวจหาได้ทั้ง Antibody แบบจำเพาะต่อเชื้อ และ Antigen ซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อได้หลังจากที่ติดเชื้อมาแล้วประมาณ 2 สัปดาห์

สำหรับผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าควรตรวจแบบไหน การตรวจเอชไอวีกับสถานพยาบาลแพทย์จะสอบถามข้อมูลของคุณ (ให้ตอบไปตามความจริง) เพื่อวินิจฉัยและตัดสินใจเลือกวิธีการตรวจให้กับคุณ ซึ่งคุณไม่ต้องกังวลหรือตัดสินใจเองว่าตรวจเอดส์ต้องรอกี่เดือน


              แต่สำหรับผู้ที่จะเลือกใช้ชุดตรวจHIV ด้วยตนเอง แบบ Rapid Test เราแนะนำให้คุณเลือกใช้ชุดตรวจที่มีหลักการตรวจที่เหมาะสมกับระยะความเสี่ยงที่ตนเองมี เช่น หากเสี่ยงมาประมาณ 20 วัน อาจจะเลือกใช้หลักการตรวจ HIV Ag/Ab combination assay หรือรออีก 3-4 วัน หรือรอให้เสี่ยงมาครบ 1 เดือน เพื่อให้มั่นใจ แล้วใช้หลักการตรวจ Anti-HIV testing ก็สามารถทำได้ หรือจะใช้หลักการตรวจ HIV Ag/Ab combination assay ก็ได้เช่นกัน


สิ่งสำคัญ คือ ไม่ควรเร่งรีบตรวจเร็วเกินไป เพราะผลที่ได้อาจจะเป็นผลลบปลอม = ไม่มีการติดเชื้อ (จริง ๆ แล้วติดเชื้อ แต่ตรวจเร็วจึงไม่พบ)

นอกจากนี้หากตรวจครั้งแรกแล้วพบว่าไม่มีการติดเชื้อ ให้ตรวจอีกครั้งที่ 3 เดือนหลังได้รับความเสี่ยง เพื่อเช็คผล หากผลตรวจเป็นลบ = ไม่พบเชื้อ ก็สามารถสบายใจได้แล้ว

หากผู้ที่มีโอกาสได้รับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี การเข้ารับ การตรวจ อาจเป็นช่องทางเดียวที่จะ ทำให้คุณ นั้นสามารถรู้ถึงสถานะ การติดเชื้อเอชไอวีของตนเองได้ หากผู้ที่ไม่สะดวกใจ ที่จะเดินทาง ไปตรวจตามสถานพยาบาลในทันที เพราะไม่มั่นใจ ว่าเสี่ยงติดเชื้อ จริงหรือไม่ หรือไม่มี ความกล้าพอที่จะไป การเลือกใช้ชุดตรวจชนิด Rapid Test มาตรวจคัดกรองให้ตนเองก่อน ก็เป็นทางออกที่ดี ของปัญหานี้ เพราะชุดตรวจคัดกรอง จะช่วยให้คุณทราบว่า มีความเสี่ยงมาจริง หรือไม่ หากมีความเสี่ยงจริง ก็ให้เดินทาง ไปตรวจที่สถานพยาบาล โดยเร็วที่สุด


อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มีการจำหน่ายชุดตรวจHIVด้วยตนเอง ราคาถูกจำนวนมาก ซึ่งไม่มีการรับรองประสิทธิภาพและคุณภาพโดยอย.ไทย ผลตรวจจึงไม่น่าเชื่อถือและอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าไม่ได้ติดเชื้อ


ดังนั้น หากจะเลือกซื้อ ชุดตรวจคัดกรองเอชไอวีด้วยตนเอง ให้เลือกซื้อกับร้านที่มีเลขอย.ไทยของผลิตภัณฑ์นั้น และตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่


หากได้รับความเสี่ยงมาแล้ว ไม่ตรวจ อาจจะแย่กว่า ที่คุณคิด เพราะคุณไม่สามารถ ทราบได้เลยว่า คุณติดเชื้อ จริงหรือไม่ ส่งผลให้ ไม่มีการรักษา และยังคงแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้  เพระฉะนั้น ตรวจให้ทราบผลไปเลย จะเป็นผลดี กับคุณมากที่สุด นอกจากนี้ อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเอง และสวมใส่ ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่จะมีเพศสัมพันธ์