โรคเอดส์แสดงอาการตอนไหน เช็กอาการของเอชไอวีในแต่ละระยะ พร้อมข้อมูลสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับการตรวจหาเชื้อ เพื่อป้องกันและรักษาได้ทันท่วงที
หลายคนอาจสงสัยว่า โรคเอดส์แสดงอาการตอนไหน? และ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าติดเชื้อเอชไอวี? นี่เป็นคำถามสำคัญที่ไม่ใช่แค่สำหรับ “กลุ่มเสี่ยง” แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน
ปัจจุบัน ประเทศไทยยังคงมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นทุกปี ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคระบุว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 6,500 รายต่อปี และที่น่ากังวลคือ ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่รู้ตัวว่าตัวเองติดเชื้อ เนื่องจากเอชไอวีสามารถอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลาหลายปีโดยไม่มีอาการชัดเจน ซึ่งหมายความว่า การตรวจหาเชื้อเป็นวิธีเดียวที่จะรู้สถานะของตัวเองได้แน่นอน
ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่า เอชไอวีแสดงอาการอย่างไรในแต่ละระยะ และ ทำไมการตรวจหาเชื้อจึงมีความสำคัญต่อทุกคน
การติดเชื้อเอชไอวีสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ โดยแต่ละระยะมีอาการและผลกระทบที่แตกต่างกัน
หลังจากได้รับเชื้อเอชไอวี ภายใน 2-4 สัปดาห์แรก ร่างกายจะตอบสนองต่อไวรัส โดยผู้ติดเชื้อบางคนอาจมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ซึ่งรวมถึง:
• ไข้สูง
• ปวดศีรษะ
• ปวดเมื่อยตามร่างกาย
• ต่อมน้ำเหลืองโต
• มีผื่นขึ้น
อาการเหล่านี้เกิดจากการที่ร่างกายพยายามต่อสู้กับไวรัส ซึ่งในระยะนี้ปริมาณไวรัสในเลือดจะสูงมาก ทำให้สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีอาการในระยะนี้ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหลายคนจึงไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ
หลังจากผ่านช่วงแรกไป เอชไอวีจะยังคงอยู่ในร่างกายและเริ่มทำลายระบบภูมิคุ้มกันอย่างช้า ๆ โดยผู้ติดเชื้ออาจ ไม่มีอาการใด ๆ เป็นเวลาหลายปี (อาจยาวนานถึง 5-10 ปี)
แต่แม้ว่าจะไม่มีอาการ ร่างกายก็กำลังถูกไวรัสทำลายทีละน้อย ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ และผู้ติดเชื้อยังสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ในช่วงเวลานี้
หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อเอชไอวีจะทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว (CD4) จนเหลือน้อยมาก ทำให้ร่างกายอ่อนแอจนไม่สามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นจุดที่เรียกว่า โรคเอดส์
ในระยะนี้ อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่:
• น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
• อ่อนเพลียเรื้อรัง
• ติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ เชื้อราในปอด
• มีจุดขาวในปากหรือที่ลิ้น
• ไข้เรื้อรังหรือเหงื่อออกตอนกลางคืน
เมื่อเข้าสู่ระยะเอดส์ โอกาสรอดชีวิตจะลดลงอย่างมากหากไม่ได้รับการรักษา ดังนั้น การตรวจเชื้อแต่เนิ่น ๆ และเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ARV) จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“ฉันไม่เคยมีพฤติกรรมเสี่ยง จำเป็นต้องตรวจไหม?”
นี่เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย ความจริงคือ เอชไอวีสามารถติดต่อได้จากหลายช่องทาง เช่น
• การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน (ทั้งชาย-หญิง และชาย-ชาย)
• การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
• การรับเลือดหรือปลูกถ่ายอวัยวะที่ไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรอง
• การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตร
การตรวจหาเชื้อเอชไอวีเป็นวิธีเดียวที่ช่วยให้เรารู้สถานะของตัวเอง และสามารถป้องกันหรือเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที
ในอดีต หลายคนอาจรู้สึกว่าการตรวจเอชไอวีเป็นเรื่องยุ่งยาก หรืออาจกลัวความเป็นส่วนตัว แต่ปัจจุบัน มีทางเลือกในการตรวจที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น รวมถึง ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง ที่สามารถใช้ที่บ้านได้
การมีชุดตรวจที่ใช้งานง่าย และสามารถให้ผลได้ภายในไม่กี่นาที ทำให้การตรวจหาเชื้อไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไป นี่เป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้คนเข้าถึงการตรวจได้มากขึ้น ลดอุปสรรคด้านความกังวล และช่วยให้มีโอกาสเข้ารับการรักษาได้เร็วขึ้น
เอชไอวีเป็นโรคที่ไม่จำเป็นต้องมีอาการชัดเจนตั้งแต่แรก และหลายคนอาจใช้ชีวิตปกติได้นานหลายปีโดยไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ การตรวจหาเชื้อเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพของตัวเอง
หากคุณมีข้อสงสัยหรือเคยมีพฤติกรรมเสี่ยงเพียงครั้งเดียว การตรวจเชื้อเอชไอวีจะช่วยให้คุณมั่นใจและสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างเหมาะสม เพราะการรู้เร็วหมายถึงโอกาสในการรักษาที่ดีขึ้น และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
การตรวจหาเชื้อไม่ใช่แค่เรื่องของ “กลุ่มเสี่ยง” แต่เป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพด
ชุดตรวจHIVด้วยตนเอง อินสติ มีจำหน่ายที่ร้านขายยาทั่วไป สามารถเข้าไปค้นหาร้านขายยาที่มีอินสติ ได้ที่ร้านจำหน่าย INSTI
หรือสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Grab , LINE MAN , Foodpanda , Lalamove เข้าไปที่แอพแล้วเลือกร้าน Boots เสิร์จ คำว่าชุดตรวจเอชไอวีหรือคำว่า อินสติ หรือ Insti
ผ่านอีกหนึ่งช่องทางคือสั่งซื้อผ่านทางผู้นำเข้าโดยตรง ได้ที่
Line OA: @insti
Facebook: อินสติ insti ชุดตรวจเอชไอวี
Shopee: INSTi_THAILANDHIVTEST
Lazada: INSTi_THAILANDHIVTEST
Tiktok: อินสติ INSTI หรือ Insti.thailand-v2
Line Shopping: insti
Website: thailandhivtest.com